ที่มาของไวโอลิน วิโอล่า เชลโล่ ดับเบิลเบสไหนๆ ก็ทำบล็อกของวงเกี่ยวกับเครื่องสายก็ขอเล่าเรื่องราวที่มาของเครื่องสายยุโรปหน่อยก็แล้วกันเนอะ
เพราะการเขียนถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของไวโอลินอาจจะเขียนได้เป็นร้อยๆ พันๆ หน้ากระดาษเลยทีเดียว มีนักเขียนมากมายที่เขียวเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไวโอลิน เรื่องราวที่มีสเน่ห์เเละประวัติอันยาวนานของมัน รวมถึงมุมมองและทัศนะที่แตกต่างกันมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ยืนยันได้อย่างแน่นอน
ในอดีตที่ มนุษย์ยังล่าสัตว์เป็นอาหารอยู่นั้น มนุษย์พบว่าการยิงธนูทำให้เกิดเสียงขึ้น นั่นเป็นเพราะการสั่นสะเทือนของสายคันธนู ข้อเท็จจริงที่ว่าการทำให้สายเกิดการสั่นสะเทือนด้วยการใช้คันชักลากผ่านสาย ถูกค้นพบหลังจากนั้นอีกนาน เเต่เกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นไม่ปรากฏชัดเจน แต่เครื่องดนตรีที่ใช้คันชักนั้นอาจจะมีการเล่นกันในอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ และที่อื่นๆ มาก่อนแล้ว ในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 และในยุโรปในราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 9 คำว่า '
Fiddle ' นอกจากจะเป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเครื่องดนตรีที่ใช้คันชักทุกๆ ชนิดแล้ว คำๆ นี้มักจะหมายความถึงเครื่องดนตรีตั้งแต่ยุคกลาง (Middle Ages) อีกด้วย ซึ่งมีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
Lira da B
raccio ( อ่านว่า ลีร่า ดา บรัชโช่ )เครื่อง สายในตระกูล Fiddle ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่งนั่นคือ
Lira da Braccio โดยปกติจะมี 5 สายหรือมากกว่า และยังมีสาย 'Bourdon' อีก 2 สายที่เรียกกันว่า Off-board drones ซึ่งสายเหล่านี้จะไม่ดีดหรือสี แต่จะสั่นสะเทือนไปตามการเล่นของคุณ ซอ Lira da Braccio จะเล่นโดย 'วางบนแขน' ตามความหมายของคำว่า 'Braccio' ซึ่งในภาษาอิตาเลี่ยนหมายถึงแขน
Lira da Braccio ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของไวโอลินเเละวิโอล่า แต่เดิมนั้นเครื่องดนตรีเหล่านี้เล่นโดยวางบนแขนเช่นเดียวกัน และเป็นเรื่องบังเอิญที่คำว่าวิโอล่าในภาษาเยอรมันคือ Bratsche มีที่มาจาก Braccio ของอิตาลี
Viola da Gamba ( วิโอล่า ดา กัมบ้า )ในช่วงปลายๆศตวรรษที่ 15 ซอวิโอล
Viol หรือ
Viola da Gamba ตัวแรกได้ถูกสร้างขึ้น ซอ Lira da BraccioLira จะตรงข้ามกับซอ Viol ซึ่งจะเล่นโดยให้คอของมันอยู่ในแนวตั้ง ซอ Viol ขนาดเล็กจะใช้ส่วนปลาย (Tail) ของมันวางที่เข่าของผู้เล่น ส่วนซอ Viol ขนาดใหญ่จะวางอยู่ระหว่างขาทั้ง 2 ข้างเช่นเดียวกับเชลโล (คำว่า '
Gamba ' ในภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่าขา)
ความแตกต่างของ Viola da Gamba กับ Lira da Braccioไม่เพียงแต่ การจับ
Viola da Gamba จะต่างจาก
Lira da Braccio เท่านั้น แต่หน้าตายังต่างกันเท่านั้นอีกด้วย เช่น
Viola da Gamba ช่วงไหล่จะลาดลง มีสายมากกว่า และตั้งเสียงต่างกัน นอกจากนั้นยังมีเฟรท (Fret) เเบบเดียวกับกีตาร์ เส้นโลหะบางๆ ที่ฝังในแนวขวางกับส่วนคอช่วยให้เล่นได้เสียงไม่เพี้ยน เฟรทจะวางในตำแหน่งที่ถูกต้องซึ่งจะให้เสียงที่ถูกต้องมากกว่าตำแหน่งกดของ นิ้ว สำหรับ
Viola da Gamba จะใช้สายเอ็นซึ่งจะพันอยู่บริเวณคอ
ราย ละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างของ Viola da Gamba นอกจากเสียงที่บอบบางและนุ่มนวลก็คือ ส่วนใหญ่แล้วจะเล่นโดยนักดนตรีสมัครเล่นที่มีฐานะดี ซึ่งตรงกันข้ามกับ Lira da Braccio และไวโอลิน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักดนตรีพื้นบ้านและนักดนตรีเต้นรำที่มักจะหารายได้ จากการแสดงเลี้ยงชีพ เมื่อวางไวโอลินไว้บนแขนก็สามารถเต้นรำและเดินไปมาตามเพลงที่เล่นได้ นอกจากนั้นไวโอลินยังให้เสียงที่ดังกว่า
Viola da Gamba จึงมีประโยชน์ที่จะใช้กับงานเลี้ยงสังสรรค์ได้ดีกว่า เมื่อประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมา ภาพของ Viola da Gamba ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของผู้คน ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเล่นกันมากนัก
เชลโลและดับเบิ้ลเบส จริงๆ แล้วเชลโลเป็นเครื่องดนตรีในตระกูล Lira da Braccio แต่เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่มาก เวลาเล่นคอของมันจะอยู่ในแนวตั้งและวางอยู่ระหว่างขาของนักดนตรี ส่วนดับเบิ้ลเบสมีความเกี่ยวข้องกับทั้ง Lira da Braccio กับ Viola da Gamba
Andrea Amati และ Antonio Stradivari ไวโอลิน ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 หนึ่งในนั้นเป็นผลงานของ Andrea Amati ซึ่งยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงปี 1700 Antonio Stradivari สร้างไวโอลินที่มีความป่องเพียงเล็กน้อย ให้เสียงที่มีพลังกว่า แต่ชื่อเสียงของเขายังไม่เป็นที่รู้จักในทันที ผู้คนยังคุ้นเคยกับไอลินที่มีเสียงนุ่มนวลและมีความป่องมากๆ อยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานความต้องการไวโอลินที่มีน้ำเสียงที่ทรงพลังได้เพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการที่ดนตรีต้องแสดงในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
คันชัก ใน ช่วงเดียวกันนั้นเอง คันชักก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มีการดัดด้ามคันชักให้มีความโค้งจากเดิมที่เป็นแนวตรง ซึ่งทำให้นักดนตรีสามารถเพิ่มพลังในการเล่นได้มากขึ้น
สายไวโอลิน สาย ไวโอลินในยุคแรกๆ เป็นสายเอ็นเเบบเรียบๆ ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีการค้นพบว่าสามารถทำให้สายบางลงได้โดยการพันรอบสาย สายที่บางลงและมีการพันสายจะทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น สายโลหะสาย E เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว ส่วนสายโลหะสายอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมหลังจากนั้นประมาณ 20 ปี สายสังเคราะห์ (Synthetic-core string) เริ่มเข้ามาในช่วงทศวรรษที่ 1950
เครื่องสายในตระกูลไวโอลิน เป็นที่ทราบกันดีว่าเชลโลเเละดับ เบิ้ลเบสเป็นเครื่องดนตรี 2 ชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับไวโอลิน แต่แน่นอนว่ายังมีเครื่องดนตรีอื่นๆ หลายชิ้นที่เกี่ยวข้องทั้งเก่าและใหม่ ตั้งแต่ Rabab จนถึง Kemenc

he และ Hardanger fele ซึ่งเครื่องดนตรีชนิดใหม่ที่สุดที่เกี่ยวข้องก็คือไวโอลินไฟฟ้า
ไวโอลิน และวิโอล่าเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องสาย (String insrument) และยังถูกเรียกว่า 'เครื่องดนตรีที่ใช้คันชัก' (Bow instrument) ซึ่งทำให้มันแตกต่างจากเครื่องดนตรีประเภท 'ดีด' เช่น กีตาร์ แบนโจ หรือฮาร์พ
เชลโลในยุคแรกๆ นั้นไม่ค่อยแตกต่างจากไวโอลินและวิโอล่ามากนัก ความแตกต่างหลักๆ ก็คือขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่านั่นเอง สายทั้ง 4 ของเชลโลตั้งเสียงเหมือนกับวิโอล่า แต่ต่ำกว่า 1 ขั้นคู่เสียง (8 คีย์สีขาวของเปียโน) เชลโลยังคงใช้ชื่อเดิมของมันคือ Violoncello ซึ่งแปลว่าเบสขนาดเล็ก ในช่วงปี ค.ศ. 1700
Antonio Stardivari ( เจ้าของ Red Violin ) ได้สร้างเชลโลซึ่งได้กลายเป็นแบบมาตรฐานที่ยังคงใช้กันอยู่ทุกจวบจนวันนี้
ดับเบิ้ลเบสจะดูคล้ายไวโอลินขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมีข้อแตกต่างกันหลายอย่างทีเดียว และไม่ใช่ญาติที่ใกล้ชิดกับไวโอลินนัก ดับเบิ้ลเบสจะมีช่วงไหล่ที่ลาดลงซึ่งแตกต่างจากไวโอลิน และเเผ่นหลังที่มักจะเเบนราบแม้ว่าจะมีแบบที่ด้านหลังป่องออกก็ตาม การตั้งเสียงก็ต่างกันเช่นเดียวกัน และตั้งเสียงจากเสียงต่ำไปหาสูงคือ E-A-D-G เหมือนกับกีตาร์เบสไฟฟ้า ความแตกต่างประการอื่นก็คือ ดับเบิ้ลเบสมีอุปกรณ์ที่ใช้ตั้งสายมากกว่าที่จะใช้ลูกบิด ดับเบิ้ลเบสยังถูกใช้ในดนตรีที่นอกเหนือจากดนตรีคลาสสิกอีกด้วย ในกรณีนี้จะใช้การดีดแทนการใช้คันชัก ซึ่งคล้ายคลึงกับกีตาร์เบสไฟฟ้าอีกเช่นกัน
-*- มาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกมันจะวิชาการมากไปซะละเรา -*- พูดไปพูดมา ก็อยากได้ Stradivari สักตัวเนอะ ขอตัว ก็อปปี้ก็ยังดี ราคาตัวก็อปก็ราวๆ 150,000 ละ เฮ้อ ..... ไว้คราวหลังจะหาเรื่องมันๆ เกี่ยวกับเพลงคลาสสิคมาฝาก ..