วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ที่มาของเครื่องสายตะวันตก

ที่มาของไวโอลิน วิโอล่า เชลโล่ ดับเบิลเบส

ไหนๆ ก็ทำบล็อกของวงเกี่ยวกับเครื่องสายก็ขอเล่าเรื่องราวที่มาของเครื่องสายยุโรปหน่อยก็แล้วกันเนอะ
เพราะการเขียนถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของไวโอลินอาจจะเขียนได้เป็นร้อยๆ พันๆ หน้ากระดาษเลยทีเดียว มีนักเขียนมากมายที่เขียวเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไวโอลิน เรื่องราวที่มีสเน่ห์เเละประวัติอันยาวนานของมัน รวมถึงมุมมองและทัศนะที่แตกต่างกันมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ยืนยันได้อย่างแน่นอน

ในอดีตที่ มนุษย์ยังล่าสัตว์เป็นอาหารอยู่นั้น มนุษย์พบว่าการยิงธนูทำให้เกิดเสียงขึ้น นั่นเป็นเพราะการสั่นสะเทือนของสายคันธนู ข้อเท็จจริงที่ว่าการทำให้สายเกิดการสั่นสะเทือนด้วยการใช้คันชักลากผ่านสาย ถูกค้นพบหลังจากนั้นอีกนาน เเต่เกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นไม่ปรากฏชัดเจน แต่เครื่องดนตรีที่ใช้คันชักนั้นอาจจะมีการเล่นกันในอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ และที่อื่นๆ มาก่อนแล้ว ในช่วงต้นศตวรรษที่ 8 และในยุโรปในราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 9 คำว่า ' Fiddle ' นอกจากจะเป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเครื่องดนตรีที่ใช้คันชักทุกๆ ชนิดแล้ว คำๆ นี้มักจะหมายความถึงเครื่องดนตรีตั้งแต่ยุคกลาง (Middle Ages) อีกด้วย ซึ่งมีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น

Lira da Braccio ( อ่านว่า ลีร่า ดา บรัชโช่ )
เครื่อง สายในตระกูล Fiddle ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่งนั่นคือ Lira da Braccio โดยปกติจะมี 5 สายหรือมากกว่า และยังมีสาย 'Bourdon' อีก 2 สายที่เรียกกันว่า Off-board drones ซึ่งสายเหล่านี้จะไม่ดีดหรือสี แต่จะสั่นสะเทือนไปตามการเล่นของคุณ ซอ Lira da Braccio จะเล่นโดย 'วางบนแขน' ตามความหมายของคำว่า 'Braccio' ซึ่งในภาษาอิตาเลี่ยนหมายถึงแขน

Lira da Braccio ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของไวโอลินเเละวิโอล่า แต่เดิมนั้นเครื่องดนตรีเหล่านี้เล่นโดยวางบนแขนเช่นเดียวกัน และเป็นเรื่องบังเอิญที่คำว่าวิโอล่าในภาษาเยอรมันคือ Bratsche มีที่มาจาก Braccio ของอิตาลี

Viola da Gamba ( วิโอล่า ดา กัมบ้า )
ในช่วงปลายๆศตวรรษที่ 15 ซอวิโอล Viol หรือ Viola da Gamba ตัวแรกได้ถูกสร้างขึ้น ซอ Lira da BraccioLira จะตรงข้ามกับซอ Viol ซึ่งจะเล่นโดยให้คอของมันอยู่ในแนวตั้ง ซอ Viol ขนาดเล็กจะใช้ส่วนปลาย (Tail) ของมันวางที่เข่าของผู้เล่น ส่วนซอ Viol ขนาดใหญ่จะวางอยู่ระหว่างขาทั้ง 2 ข้างเช่นเดียวกับเชลโล (คำว่า ' Gamba ' ในภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่าขา)

ความแตกต่างของ Viola da Gamba กับ Lira da Braccio
ไม่เพียงแต่ การจับ Viola da Gamba จะต่างจาก Lira da Braccio เท่านั้น แต่หน้าตายังต่างกันเท่านั้นอีกด้วย เช่น Viola da Gamba ช่วงไหล่จะลาดลง มีสายมากกว่า และตั้งเสียงต่างกัน นอกจากนั้นยังมีเฟรท (Fret) เเบบเดียวกับกีตาร์ เส้นโลหะบางๆ ที่ฝังในแนวขวางกับส่วนคอช่วยให้เล่นได้เสียงไม่เพี้ยน เฟรทจะวางในตำแหน่งที่ถูกต้องซึ่งจะให้เสียงที่ถูกต้องมากกว่าตำแหน่งกดของ นิ้ว สำหรับ Viola da Gamba จะใช้สายเอ็นซึ่งจะพันอยู่บริเวณคอ

ราย ละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างของ Viola da Gamba นอกจากเสียงที่บอบบางและนุ่มนวลก็คือ ส่วนใหญ่แล้วจะเล่นโดยนักดนตรีสมัครเล่นที่มีฐานะดี ซึ่งตรงกันข้ามกับ Lira da Braccio และไวโอลิน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักดนตรีพื้นบ้านและนักดนตรีเต้นรำที่มักจะหารายได้ จากการแสดงเลี้ยงชีพ เมื่อวางไวโอลินไว้บนแขนก็สามารถเต้นรำและเดินไปมาตามเพลงที่เล่นได้ นอกจากนั้นไวโอลินยังให้เสียงที่ดังกว่า

Viola da Gamba จึงมีประโยชน์ที่จะใช้กับงานเลี้ยงสังสรรค์ได้ดีกว่า เมื่อประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมา ภาพของ Viola da Gamba ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของผู้คน ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเล่นกันมากนัก

เชลโลและดับเบิ้ลเบส
จริงๆ แล้วเชลโลเป็นเครื่องดนตรีในตระกูล Lira da Braccio แต่เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่มาก เวลาเล่นคอของมันจะอยู่ในแนวตั้งและวางอยู่ระหว่างขาของนักดนตรี ส่วนดับเบิ้ลเบสมีความเกี่ยวข้องกับทั้ง Lira da Braccio กับ Viola da Gamba

Andrea Amati และ Antonio Stradivari
ไวโอลิน ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 หนึ่งในนั้นเป็นผลงานของ Andrea Amati ซึ่งยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงปี 1700 Antonio Stradivari สร้างไวโอลินที่มีความป่องเพียงเล็กน้อย ให้เสียงที่มีพลังกว่า แต่ชื่อเสียงของเขายังไม่เป็นที่รู้จักในทันที ผู้คนยังคุ้นเคยกับไอลินที่มีเสียงนุ่มนวลและมีความป่องมากๆ อยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานความต้องการไวโอลินที่มีน้ำเสียงที่ทรงพลังได้เพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการที่ดนตรีต้องแสดงในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

คันชัก
ใน ช่วงเดียวกันนั้นเอง คันชักก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มีการดัดด้ามคันชักให้มีความโค้งจากเดิมที่เป็นแนวตรง ซึ่งทำให้นักดนตรีสามารถเพิ่มพลังในการเล่นได้มากขึ้น

สายไวโอลิน
สาย ไวโอลินในยุคแรกๆ เป็นสายเอ็นเเบบเรียบๆ ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีการค้นพบว่าสามารถทำให้สายบางลงได้โดยการพันรอบสาย สายที่บางลงและมีการพันสายจะทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น สายโลหะสาย E เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่เมื่อประมาณร้อยกว่าปีมาแล้ว ส่วนสายโลหะสายอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมหลังจากนั้นประมาณ 20 ปี สายสังเคราะห์ (Synthetic-core string) เริ่มเข้ามาในช่วงทศวรรษที่ 1950

เครื่องสายในตระกูลไวโอลิน
เป็นที่ทราบกันดีว่าเชลโลเเละดับ เบิ้ลเบสเป็นเครื่องดนตรี 2 ชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับไวโอลิน แต่แน่นอนว่ายังมีเครื่องดนตรีอื่นๆ หลายชิ้นที่เกี่ยวข้องทั้งเก่าและใหม่ ตั้งแต่ Rabab จนถึง Kemenche และ Hardanger fele ซึ่งเครื่องดนตรีชนิดใหม่ที่สุดที่เกี่ยวข้องก็คือไวโอลินไฟฟ้า

ไวโอลิน และวิโอล่าเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องสาย (String insrument) และยังถูกเรียกว่า 'เครื่องดนตรีที่ใช้คันชัก' (Bow instrument) ซึ่งทำให้มันแตกต่างจากเครื่องดนตรีประเภท 'ดีด' เช่น กีตาร์ แบนโจ หรือฮาร์พ
เชลโลในยุคแรกๆ นั้นไม่ค่อยแตกต่างจากไวโอลินและวิโอล่ามากนัก ความแตกต่างหลักๆ ก็คือขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่านั่นเอง สายทั้ง 4 ของเชลโลตั้งเสียงเหมือนกับวิโอล่า แต่ต่ำกว่า 1 ขั้นคู่เสียง (8 คีย์สีขาวของเปียโน) เชลโลยังคงใช้ชื่อเดิมของมันคือ Violoncello ซึ่งแปลว่าเบสขนาดเล็ก ในช่วงปี ค.ศ. 1700 Antonio Stardivari ( เจ้าของ Red Violin ) ได้สร้างเชลโลซึ่งได้กลายเป็นแบบมาตรฐานที่ยังคงใช้กันอยู่ทุกจวบจนวันนี้

ดับเบิ้ลเบสจะดูคล้ายไวโอลินขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมีข้อแตกต่างกันหลายอย่างทีเดียว และไม่ใช่ญาติที่ใกล้ชิดกับไวโอลินนัก ดับเบิ้ลเบสจะมีช่วงไหล่ที่ลาดลงซึ่งแตกต่างจากไวโอลิน และเเผ่นหลังที่มักจะเเบนราบแม้ว่าจะมีแบบที่ด้านหลังป่องออกก็ตาม การตั้งเสียงก็ต่างกันเช่นเดียวกัน และตั้งเสียงจากเสียงต่ำไปหาสูงคือ E-A-D-G เหมือนกับกีตาร์เบสไฟฟ้า ความแตกต่างประการอื่นก็คือ ดับเบิ้ลเบสมีอุปกรณ์ที่ใช้ตั้งสายมากกว่าที่จะใช้ลูกบิด ดับเบิ้ลเบสยังถูกใช้ในดนตรีที่นอกเหนือจากดนตรีคลาสสิกอีกด้วย ในกรณีนี้จะใช้การดีดแทนการใช้คันชัก ซึ่งคล้ายคลึงกับกีตาร์เบสไฟฟ้าอีกเช่นกัน

-*- มาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกมันจะวิชาการมากไปซะละเรา -*- พูดไปพูดมา ก็อยากได้ Stradivari สักตัวเนอะ ขอตัว ก็อปปี้ก็ยังดี ราคาตัวก็อปก็ราวๆ 150,000 ละ เฮ้อ ..... ไว้คราวหลังจะหาเรื่องมันๆ เกี่ยวกับเพลงคลาสสิคมาฝาก ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น